ความสำคัญของระดับ Support และ Resistance ใน Price Action

Support และ Resistance คืออะไร

  • Support & Resistance (แนวรับ แนวต้าน) คือ ระดับราคาที่มีการซื้อหรือขายในอดีต โดยในอนาคตหากราคากลับมาบริเวณดังกล่าว เหล่านักลงทุน ” คาดการณ์” ว่าจะมีแรงซื้อหรือแรงขายอยู่บริเวณดังกล่าว
  • คือโซนราคา หรือบริเวณ ไม่ใช่เส้นราคาแบบเปะๆ ใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจหรือคาดการณ์เท่านั้นและไม่ได้แปลว่าจะเป็นไปตามเทคนิค 100 %
  • Support (แนวรับ) จำง่ายๆ ว่ามีหน้าทีรับไม่ให้ราคาร่วงทะลุผ่านไป
  • Resistance (แนวต้าน) จำง่ายๆ ว่ามีหน้าที่ต้านไม่ให้ราคาพุ่งทะลุผ่านไป

ความสำคัญของระดับ Support และ Resistance

  • ระดับ Support และ Resistance หรือแนวรับแนวต้านเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ตลาด เนื่องจากจะทำให้การมองทิศทางของตลาดได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยให้สามารถคาดการณ์ตำแหน่งการกลับตัวของราคา และช่วยกรองสัญญาณ Breakout
  • ใช้ในการออกแบบกลยุทธ์การซื้อขาย และเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เหล่า Price Action Trader นำไปใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เช่น Price Pattern Candlestick ทำให้มีประสิทธิภาพและมีโอกาสทำกำไรในการเข้าซื้อขายมากขึ้น

ประเภทของ Support และ Resistance

  • ประเภทของ Support และ Resistance หลักๆ มีอยู่ 2 แบบ คือ Horizontal และ Vertical
  • Horizontal Support Resistance คือแนวรับแนวต้านแบบเส้นแนวนอน
  • Vertical Support Resistance คือแนวรับแนวต้านแบบเส้นเฉียง หรือ Trend Line นันเอง
  • Support และ Resistance จะมีการเปลี่ยนแปลงคือเมื่อราคาทะลุผ่าน Resistance (แนวต้าน) จะเปลี่ยนตัวเองเป็น Support (แนวรับ) และเมื่อราคาทะลุผ่าน Support (แนวรับ) จะเปลี่ยนตัวเองเป็น Resistance (แนวต้าน)

การใช้งาน Support และ Resistance

  • การใช้งาน Support (แนวรับ) เราจะตีเป็นเส้นแนวนอนอยู่ใต้แท่งราคาโดยสามารถตีได้ที่ไส้เทียนหากราคาลงมาถึงแนวรับที่ตีไว้แล้วระดับราคานั้นเกิดรับได้และเกิดสัญญาณรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Price Pattern Candlestick ราคาก็มีโอกาศกลับตัวขึ้นไปได้ แต่ถ้าไม่สามารถรับได้ ราคาก็จะทะลุลงต่อ
  • การใช้งาน Resistance (แนวต้าน) เราจะตีเป็นเส้นแนวนอนอยู่เหนือแท่งราคาโดยสามารถตีได้ที่ไส้เทียนหากราคาขึ้นมาถึงแนวต้านที่ตีไว้แล้วระดับราคานั้นเกิดต้านอยู่และเกิดสัญญาณรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Price Pattern Candlestick ราคาก็มีโอกาศกลับตัวลงไปได้ แต่ถ้าไม่สามารถต้านได้ ราคาก็จะทะลุขึ้นต่อ
  • การใช้งาน Vertical Support Resistance หรือ Trend Line ก็จะใช้งานในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่จะตีเส้นระดับราคาเป็นแนวเฉียงเท่านั้นเอง

ภาพตัวอย่างกราฟจริง

  • จะเห็นได้ว่าในสภาวะตลาดจริง เมื่อตีเส้นของ Support Resistance หรือ เส้น Trend Line แล้ว เส้นไม่ได้ขนานกันแบบเป๊ะๆ บางจุดไม่ถึงเส้นระดับ บางจุดทะลุเส้นระดับแต่เป็นการทะลุแบบหลอก (false breakout)
  • เมื่อเราตีเส้นแล้ว จะเห็นได้ว่าเราสามารถมองตลาดได้ง่ายขึ้น ว่าราคาจะมีแนวโน้มไปในทิศทางไหน และรอพิจารณาหาจุดเข้าเทรดเมื่อราคาเข้าใกล้เส้นระดับ
  • จากภาพเรามาวิเคราะห์ไปพร้อมๆกัน ว่าแต่ละจุดที่ลูกศรชี้ 1-7 มีความสำคัญยังไง และประกอบด้วยอะไรบ้าง
  • จุดที่ 1 บริเวณนั้นมีแนวระดับของ Support Resistance และราคาได้กลับมาทดสอบบริเวณ Support และอยู่ใกล้ Trend Line ทำให้จุดนี้สามารถพิจารณาเข้าซื้อได้
  • จุดที่ 2 ราคากลับมาทดสอบบริเวณที่เป็นแนว Resistance เก่าที่โดนทะลุจึงเปลี่ยนตัวเองเป็นแนว Support และราคายังชนกับ Trend Line จึงเป็นจุดที่ควรเข้าซื้ออย่างมาก
  • จุดที่ 3 ราคากลับมาทดสอบบริเวณที่เป็นแนว Resistance เก่าที่โดนทะลุจึงเปลี่ยนตัวเองเป็นแนว Support แต่จุดนี้ราคาเกือบทะลุ Trend Line ลงมาได้แต่ก็มีการปฏิเสธราคากลับขึ้นไป แต่มาสามารถเอาชนะโครงสร้างก่อนหน้าได้ จึงทำให้จุดเข้าซื้อนี้แพ้และขาดทุนไป
  • จุดที่ 4 ราคาปรับตัวลงมาทดสอบที่ Support เก่า ซึ่งเป็นแนวระดับสำคัญ สามารถเข้าซื้อได้ แต่มาสามารถเอาชนะโครงสร้างก่อนหน้าได้ จึงทำให้จุดเข้าซื้อนี้แพ้เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน แสดงว่าตลาดกำลังจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง
  • จุดที่ 5 แนวโน้มจุดของตลาดได้เปลี่ยนเป็นขาลงอย่างชัดเจน จึงเปลี่ยนมาเป็นหาจุดเข้าออเดอ์ฝั่งขายอย่างเดียว โดยจุดที่ 5 ราคาชนกับ Trend Line และอยู่ใกล้ระดับ Support Resistance เก่า จึงเป็นจุดที่ควรเข้าเทรด
  • จุดที่ 6 และ จุดที่ 7 ราคาเหมือนจะทะลุ Trend Line แต่ไม่สามารถทำลายโครงสร้างก่อนหน้าได้ และยังชนกับแนว Resistance เป็นการทะลุหลอก(False Breakout) ทำให้ 2 จุดนี้เป็นจุดที่ควรเข้าเทรดอย่างยิ่ง

ตัวอย่างการเทรดบนกราฟจริง

ตัวอย่างการเข้าเทรดที่ 1

  • เข้าเทรดในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง ราคาปรับตัวเป็นเทรนขาขึ้น และสร้าง Support Resistance
  • ราคาเกิดการทะลุ Resistance (แนวต้าน) ทำให้เปลี่ยนตัวเองเป็น Support (แนวรับ)
  • ราคากลับมาทดสอบบริเวณแนวระดับเก่า หรือ Support
  • มีการปฏิเสธราคาและทำไส้ยาว หรือจะมองเป็น Candlestick รูปแบบ Hammer ก็ได้
  • เข้าออเดอร์หลังปิดแท่ง โดยวางจุดตัดขาดทุน(SL) ไว้ใต้เส้น Support และจุดเก็บกำไร(TP) ตั้งไว้ที่โครงสร้างล่าสุด

ตัวอย่างการเข้าเทรดที่ 2

  • ต่อเนื่องจากตัวอย่างที่ 1 จุดที่ลูกศรสีเขียวชี้ 2 จุดแรก ในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง ไม่สามารถมองเห็นสัญญาณการเข้าซื้อ จึงต้องย่อกรอบเวลาเข้าไปที่ 15 นาที เพื่อหาสัญญาณยืนยัน โดยหาจังหวะเข้าซื้ออย่างเดียว ที่บริเวณ Support เพราะตลาดมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น
  • ราคากลับมาทดสอบบริเวณ Support ครั้งที่ 2 แต่ไม่เข้าซื้อเพราะสัญญาณยืนยันไม่ชัดเจน
  • ราคากลับมาทดสอบบริเวณ Support อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 และราคาเกิด Candlestick รูปแบบ Hammer
  • เข้าออเดอร์หลังปิดแท่ง โดยวางจุดตัดขาดทุน(SL) ไว้ที่ใต้เส้น Support และจุดเก็บกำไร(TP) ตั้งไว้ที่ Resistance หรือแนวต้านนั่นเอง

สิ่งที่ต้องรู้/คำแนะนำ

  • การใช้เส้น Support Resistance อย่างเดียว มีโอกาสที่จะทำให้การเทรดนั้นแพ้และไม่มีประสิทธิภาพ
  • เมื่อราคามาถึงเส้นระดับ Support Resistance ให้รอดู Action ของราคาก่อน ว่าจะกลับตัวหรือทะลุแนว
  • การนำ Price Action มาใช้ร่วมกับแนวของ Support Resistance ช่วยให้มีโอกาสในการเทรดชนะมากขึ้น เช่นการใช้  Support Resistance ร่วมกับ Price Pattern รูปแบบต่างๆ หรือ ใช้ Support Resistance ร่วมกับ Candlestick รูปแบบต่างๆ เป็นต้น
  • การเทรดตามแนวโน้มเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราแนะนำ เช่น ราคามีแนวโน้มขาขึ้นให้เข้าออเดอร์บริเวณ Support(แนวรับ) กลับกันในแนวโน้มขาลงให้รอเข้าออเดอร์บริเวณ Resistance (แนวต้าน) เท่านั้น จะทำให้มีโอกาสชนะมากขึ้น
  • แนะนำให้ใช้กับกรอบเวลา (Timeframe) 15 นาที ขึ้นไป กราฟจะมีความเสถียรและแม่นยำขึ้น
  • หากในกรอบเวลาใหญ่ๆ (Higher Timeframe) เช่น D1 H4 H1 มีแนวระดับ Support Resistance แต่หาสัญญาณยืนยันไม่เจอ ให้ย่อไปในกรอบเวลาเล็กๆ (Lower Timeframe) เช่น M15 M30
  • Support Resistance Trend Lind สามารถใช้ได้กับทุกตลาด