Skip to content
Head and Shoulders คืออะไร
- Head and Shoulders เป็น Price Pattern รูปแบบหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีลักษณะของกราฟเป็นรูปแบบ ยอด 3 ยอด โดยมียอดตรงกลางสูงที่สุด และยอด 2 ยอดด้านข้างมีความสูงใกล้เคียงกัน
- รูปแบบ Head and Shoulders เป็นรูปแบบที่ให้สัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และจะเกิดการกลับในไม่ช้า Head and Shoulders เป็นรูปแบบการกลับตัวที่น่าเชื่อถือที่สุดรูปแบบหนึ่ง
Head and Shoulders มีกี่แบบ
- มี 2 รูปแบบ คือ Head and Shoulders แบบ 3 ยอด และ Inverse Head and Shoulders แบบ 3 ยอดกลับหัว
- Head and Shoulders ให้สัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มจากทิศทางขาขึ้นเป็นขาลง
- Inverse Head and Shoulders ให้สัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มจากทิศทางขาลงเป็นขาขึ้น
ที่มาของรูปแบบ Head and Shoulders
- Head and Shoulders เกิดจากการเรียงตัวของราคา (Price Pattern) เป็นรูปแบบต่างๆ และกำหนดเป็นชื่อเรียกเพื่อให้จดจำได้ง่ายในการนำไปใช้
- Head and Shoulders เป็นรูปแบบของการเปลี่ยนแนวโน้ม ซึ่งจะสอดคล้องกับทฤษฎี Dow Theory เกิดขึ้นจากราคาได้สร้างจุดสูงสุดใหม่เกิดเป็นยอดที่ 1 และจากนั้นมีการย่อของราคาทำให้เกิดฐาน หรือ Neck Line นั่นเอง จากนั้นราคาสามารถสร้างจุดสูงสุดได้อีกครั้งและสามารถทะลุเหนือจุดสูงสุดก่อนหน้าได้ กำหนดให้เป็นจุดยอดตรงกลาง จากนั้นราคาจะปรับตัวลงไปบริเวณ Neck Line และพุ่งขึ้นอีกครั้งเป็นการสร้างยอดที่ 3 โดยมีความสูงใกล้เคียงกับจุดยอดที่ 1 จากนั้นราคาจะปรับตัวลง หากปรับตัวลงทะลุ Neck Line ได้ จะเป็นการกลับตัวรูปแบบ Head and Shoulders ที่สมบูรณ์
การใช้งาน Head and Shoulders
การเข้าเทรดหลักๆ มีอยู่ 3 แบบ
- จุดเข้าที่ 1 คือการเข้าออเดอร์บริเวณไหล่ขา เนื่องจากราคาสามารถทะลุ Trend Line ของขาขึ้นได้ เป็นหนึ่งสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นใกล้จะสิ้นสุดลง มีจุดตัดขาทุนเหนือจุดสูงสุดของโครงสร้างล่าสุดหรือบริเวณณส่วนหัว
- จุดเข้าที่ 2 จะเข้าออเดอร์แท่งถัดไปหลังแท่งที่ปิดได้ต่ำกว่า Neck Line โดยทีทัน โดยมีจุดตัดขาดทุนอยู่เหนือโครงสร้างล่าสุดหรือบริเวณไหล่ขวา
- จุดเข้าที่ 3 เข้าออเดอร์ตอนที่ราคากลับมาทดสอบ Neck Line หลังเกิดการทะลุ เป็นการเข้าที่ปลอดภัยที่สุดเนื่องจากราคาสร้างโครางสร้างเป็นแนวโน้มขาลงอยางสมบูรณ์ แต่ก็อาจจะมีโอกาสตกรถได้ และมีจุดตัดขาดทุนอยู่เหนือโครงสร้างล่าสุดหรือบริเวณไหล่ขวา
ข้อดีข้อเสียของจุดเข้าแต่ละจุด
- ข้อดีของจุดเข้าที่ 1 สามารใช้ Lot ขนาดใหญ่ในการเข้าออเดอร์ได้ เนื่องจากมีระยะ Stop Loss ค่อนข้างสั้น
- ข้อเสียของจุดเข้าที่ 1 ราคายังไม่ทะลุโครงสร้างก่อนหน้า อาจทำให้กลับขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่สูงกว่าจุดก่อนหน้าได้
- ข้อดีของจุดเข้าที่ 2 รูปแบบกราฟยืนยันชัดเจน ไม่พลาดโอกาสในการเข้าเทรด หรือที่เทรดเดอร์เรียกกันว่า การตกรถ
- ข้อเสียของจุดเข้าที่ 2 ระยะ Stop Loss ค่อนข้างไกล ส่งผลต่อระะยะเก็บกำไร
- ข้อดีของจุดเข้าที่ 3 กราฟยืนยันการกลับตัวชัดเจนโดยทะลุโครางสร้างก่อนหน้าได้ ระยะ Stop Loss ไม่ไกลมาก
- ข้อเสียของจุดเข้าที่ 3 มีโอกาสตกรถหากราคาไม่กลับมาทดสอบบริเวณ Neck Line
ตัวอย่างการเทรดบนกราฟจริง
ตัวอย่างการเข้าเทรดที่ 1 (Head and Shoulders)
- เทรดบนกรอบเวลา (Timeframe) M5 ตลาดแนวโน้มเป็นขาขึ้น และราคาเข้าสู่บริเวณแนวต้านของกรอบเวลา H1
- ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งราคาชนกับแนวต้าน ทำให้ไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ทำให้เกิดจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดก่อนหน้า (Lower High) และราคาทะลุ Neck Line เกิดเป็นรูปแบบ Head and Shoulders ในการเข้าออเดอร์จะวิเคราะห์จุดเข้าแต่ล่ะจุดตามวิธีเข้าเทรดในหัวข้อก่อนหน้า
- จุดเข้าที่ 1 ราคายังไม่ทะลุ Trend Line ราคามีโอกาสขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ จึงไม่ควรเข้าเทรด
- จุดเข้าที่ 2 ราคาสร้างไหล่ขวาและทะลุ Trend Line Neck Line ในจังหวะที่ราคาทะลุ Neck Line การทะลุไม่ชัดเจน และมีแนวต้านเกิดขึ้น จึงยังไม่เข้าเทรด และรอพิจารณาในจุดเข้าที่ 3
- จุดเข้าที่ 3 จุดนี้มีนัยสำคัญหลายปัจจัยที่ควรเข้าเทรด เนื่องจากราคาทะลุ Trend Lind และ Neck Line ราคากลับไปทดสอบบริเวณ Trend Line และมีแนวต้าน จึงเป็นจุดที่เข้าเทรด โดยจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ตั้งไว้ที่โครงสร้างล่าสุด และจุดเก็บกำไร (Take Profit) ตั้งไว้ที่จุดต่ำสุดของโครงสร้างใหญ่ล่าสุด ตามภาพจะเป็นเส้นสีแดง ทั้งนี้การเก็บกำไรขึ้นอยู่กับความพอใจของตัวเทรดเดอร์เอง อาจจะเก็บเป็น 2-3 เท่า ของระยะ Stop Loss ก็ได้
ตัวอย่างการเข้าเทรดที่ 2 (Inverse Head and Shoulders)
- เทรดบนกรอบเวลา (Timeframe) M30 ตลาดแนวโน้มเป็นขาลง และราคาเข้าสู่บริเวณแนวรับ
- ราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low ) ลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งราคาชนกับแนวรับ ทำให้ไม่สามารถสร้างจุดต่ำสุดใหม่ได้ ทำให้เกิดจุดต่ำสุดที่สูงกว่าจุดก่อนหน้า (Higher Low) และราคาทะลุ Neck Line เกิดเป็นรูปแบบ Head and Shoulders ในการเข้าออเดอร์จะวิเคราะห์จุดเข้าแต่ล่ะจุดตามวิธีเข้าเทรดในหัวข้อก่อนหน้า
- จุดเข้าที่ 1 ในจังหวะที่ราคาทะลุ Trend Line ราคาได้สร้างแนวรับไว้และกลับมาทดสอบพร้อมสร้างไหล่ขวา จุดนี้สามารถเข้าเทรดได้บริเวณแนวรับ และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อยู่ใต้โครงสร้างล่าสุด จุดนี้จะได้ระยะ SL ที่แคบ
- จุดเข้าที่ 2 ราคาสร้างไหล่ขวาทะลุ Trend Line Neck Line ในจังหวะที่ราคาทะลุ Neck Line การทะลุไม่ชัดเจน และมีแนวรับเกิดขึ้น จึงยังไม่เข้าเทรด และรอพิจารณาในจุดเข้าที่ 3
- จุดเข้าที่ 3 ราคาทะลุ Neck Line สร้างรูปแบบ H&S สมบูรณ์ และราคากลับไปทดสอบบริเวณแนวรับ จึงเป็นจุดที่เข้าเทรด โดยจุดนี้เทรดเดอร์ที่รอเข้าบริเวณไหล่ขวาอาจจะตกรถได้ เนื่องจากราคามาถึงแนวรับแล้วกลับตัวทันที
- จุดเข้าที่ 4 ราคาทะลุ Neck Line อย่างชัดเจน และมีการสร้างแนวรับเมื่อราคากลับไปทดสอบบริเวณแนวรับ ก็สามารถเข้าเทรดได้อีกครั้ง สำหรับเทรดเดอร์ที่พลาดโอกาสในการเข้าเทรดในจังหวะที่ 3 จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)อยู่บริเวณใต้แนวรับหรือใต้ไหล่ขวาก็ได้ ขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยง และจุดเก็บกำไร (Take Profit) ตั้งไว้ที่จุดสูงสุดของโครงสร้างใหญ่ล่าสุด หรืออาจจะเก็บเป็น 2-3 เท่า ของระยะ Stop Loss ก็ได้
สิ่งที่ต้องรู้/คำแนะนำ
- การใช้งานรูปแบบ Head and Shoulders จะใช้งานได้ดีก็ต่อเมื่อมีปัจจัยด้านอื่นๆ เข้ามาเสริม เช่น รูปแบบเกิดที่บริเวณแนวรับแนวต้าน มีโอกาสที่จะกลับตัวสูงกว่าการเกิดขึ้นแบบเดี่ยวๆ
- ควรเทรดให้ไปตามทิศทางของแนวโน้มหลัก จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเทรดให้ชนะและราคาถึงจุดทำกำไรเร็วขึ้น
- เมื่อราคาสร้างไหล่ขวาเสร็จ แต่ราคายังไม่ทะลุ Neck Line หรือทะลุแค่ปลายไส้ แนะนำให้รอสัญญาณที่ชัดเจนก่อน
- การเทรดด้วยรูปแบบ Head and Shoulders สามารถใช้ได้ดีกับกรอบเวลา M5 ขึ้นไป และแนวรับแนวต้านควรอยู่ในกรอบเวลา M30 ขึ้นไป จะมีความแข็งเรงและทำให้ราคามีโอกาสในการกลับตัว
- การเทรดด้วยรูปแบบ Head and Shoulders ใช้ได้กับทุกตลาด